Wonderfruit Festival เป็นงานเทศกาลบันเทิงเพื่อเฉลิมฉลองการพัฒนาการแบบยั่งยืน (Sustainability) ที่เน้นไปทางด้านศิลปะ ดนตรี อาหารการกิน และไอเดียความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ซึ่งถือเป็นงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่อีกเทศกาลหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นในประเทศไทย งาน Wonderfruit จัดมาแล้ว 5 ครั้งและในปีนี้จะจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 12-16 ธันวาคม 2562 จัดขึ้นที่ The Fields ที่สยามคันทรีคลับ พัทยา ซึ่งในปีนี้ Wonderfruit ก็ยังชูประเด็นเรื่องของความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอยู่เหมือนเดิม

ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้จัดงาน Wonderfruit ที่ได้สั่งสมมาแล้ว 5 ปี คราวนี้ งาน Wonderfruit กำลังจะทำตัวเองให้เป็นเมืองในอุดมคติตามวิถีความยั่งยืน (Sustainability Utopia) ซึ่งสิ่งนี้ผมเห็นว่าเป็นการทำออกมาได้กลมกล่อมทีเดียว ทั้งเรื่องการพูดและทำเกี่ยวกับ Sustainability ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมและยังชักชวนให้ผู้คนที่มาร่วมงานได้ร่วมกันทำสิ่งนี้ไปด้วยกัน แถมยังเป็นไปในแนวทางที่มีความคิดสร้างสรรค์และถูกจริตกับผู้คนที่มาร่วมงาน Wonderfruit ได้ด้วยการทำให้มันเป็นเรื่องที่สนุกและบันเทิง

เวทีดนตรีใน Wonderfruit Festival 2019 จะมีอะไรบ้าง
สิ่งที่วันเดอเรอร์ (Wonderer = ผู้เข้าร่วมงาน Wonderfruit) จะได้พบก็เริ่มจากการที่ Wonderfruit ทำงานร่วมกับศิลปินในโปรเจคต์ Musicity ที่จะมาทำเพลงซาวด์แทรคให้กับแลนด์มาร์คต่างๆของกรุงเทพฯ แล้วจะนำมาโชว์สดในงานนี้ด้วยที่เวทีเธียเตอร์ เสตจ (Theatre Stage)

ส่วนที่โซลาร์ เสตจ (Solar Stage) ซึ่งจะเป็นจุดแลนด์มาร์คสำคัญของ Wonderfruit Festival ในช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและอาทิตย์ตก เพราะเป็นโครงสร้างที่สร้างขึ้นให้ผู้คนได้ปีนป่ายขึ้นไปชมวิวบรรยากาศงานวันเดอร์ฟรุ๊ต และจะมีศิลปินมากมายมาเพิ่มซาวด์ดนตรีให้วันเดอเรอร์ได้รับฟังไปพร้อมๆกับการมีประสบการณ์กับชิ้นงานนี้ ผลงานชิ้นนี้ได้รับการออกแบบโดย Greg Fleishman ผู้เคยฝากผลงานไว้ครั้งแรกในฐานะงานศิลปะที่งาน Burning Man อันโด่งดังระดับโลก และชิ้นงานนี้สามารถถอดได้ประกอบได้เพราะออกแบบเป็นโมดูลาร์สอดคล้องกับวิถียั่งยืนที่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้ทุกปี ลองดูตัวอย่างของปีที่แล้วได้ที่วีดีโอนี้
มาต่อกันที่เวที เดอะ ควอรี่ (The Quarry) ซึ่งถึงได้ว่าเป็นบ้านของเพลงอันเดอร์กราวด์สายลึก ซึ่ง Craig Richard มิวสิคคิวเรเตอร์ชื่อดังระดับตำนานจะพาเหล่าคุณไปสัมผัสดนตรีล้ำๆหลากหลายแนวกันในปีนี้
สำหรับสายแดนซ์ ไม่ควรพลาดเวทีฟอร์บิดเด้น ฟรุ๊ต (Forbidden Fruit) ซึ่งเป็นเวทีโครงสร้างไม้ไผ่รีไซเคิลที่มีดีไซน์สวยงาม อัดแน่นไปด้วยเหล่าศิลปินที่จะชวนให้คุณขยับแข้งขยับขา ขยับอวัยวะ ไปบนฟลอร์เต้นรำแห่งนี้

เวที โพลีกอน (Polygon) เป็นเวทีที่มีระบบเสียง 360 องศา หนึ่งเดียวของโลก ที่ทุกคนต่างพูดถึงในปีที่แล้ว ปีนี้มาพร้อมวิชวลเอฟเฟคไฮเดฟเต็มรูปแบบ พร้อมไลน์อัพศิลปินและดีเจสายอิเล็คทรอนิคส์แบบจัดเต็ม

และยังมีเวทีเล็กๆ พร้อมกับรถบัสเก๋ๆที่ดูจะเป็นรูปภาพที่เป็นหนึ่งใน signature ของ Wonderfruit Festival นั่นก็คือ หมอลำบัส (Molum Bus) ที่มาพร้อมกับศิลปินที่จะพาคุณไปเซิ้งกับดนตรีหมอลำ และนี่เป็นหนึ่งในเวทีที่ผมอยากแวะไปเยือนให้ได้
เปิดเวทีให้แชร์เรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจใน Wonderfruit Festival
ที่ Wonderfruit นั้นจะมีโปรแกรม Scratch Talks ที่จะเปิดพื้นที่ใน Eco Pavilion และเชิญผู้นำทางความคิดจากทั่วทุกมุมโลก มาเล่าเรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจและเปิดโลกทัศน์ให้กับคุณได้อีกด้วย ปีนี้จะอยู่ภายใต้ธีม Live, Love และ Wonder อันนี้ผมอยากไปลองฟังดูมากๆเลย

ตามด้วยกิจกรรมต่างๆอีกมากมาย
สำหรับคนที่อยากจะปรับสมดุล ฟื้นฟูสภาพจิตใจต่างๆ ทาง Wonderfruit Festerval มีเปิดพื้นที่ในส่วน Wonderness ให้คุณได้ค้นพบตัวเองจากกิจกรรมและเวิร์คชอปต่าง ๆ มากมาย ปีนี้จะมีทั้ง โยคะ การฝึกร่างกายและจิตใจด้วยเสียง (Sound Bath) พิธีกรรมแบบชาแมน (Shamanic Ceremony) และนอกจากนี้ยังมีการนำกิจกรรมที่มีการผสมผสานภูมิปัญญาของไทยมาให้คุณได้ร่วมกิจกรรมกันอีกด้วย

สายกินต้องไม่พลาด
สำหรับอาหารการกินใน Wonderfruit ก็ต้องกินดีอยู่ดี โดยมีจุดให้บริการอาหารอยู่เป็นสามโซน คือ Wonder Feast , Wonder Kitchen และ Pop up Kitchen โดยมีของอร่อยให้ชิมดังนี้
Wonder Feast
ทานอาหารกับในฮอลล์กลางแจ้งขนาดใหญ่ที่มีที่นั่งรับนักชิมได้ถึง 200 ที่นั่ง ซึ่งใครอยากชิมต้องจองล่วงหน้าในเว็บ Wonderfruit กันก่อน ส่วนในปี 2019 นี้ งาน Wonderfruit Festival จัดหาเชฟชื่อดังมาปรุงให้ชิมกันในหลากหลายมืออาหาร เช่นมื้อค่ำวันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม จะเป็นคอร์สอาหารทะเล โดยคู่หูเชฟจากร้าน 80/20 (เชฟโจ-ณพล จันทรเกตุและเชฟซากิ โฮชิโนะ)
มื้อเที่ยงวันที่ 14 ธันวาคม จะเป็นการแสดงฝีมือของเชฟสามคนที่รวมตัวกันอย่าง เชฟอุ้ม-คณพร จากร้านโคอิตรัง เชฟเตย-ธัญญ่า จากร้าน Tanya’s Homemade Eatery หัวหิน และเชฟเบียร์-อโณทัย จากร้าน Blackitch เชียงใหม่ โดยทั้งสามท่านจะปรุงอาหารจากความถนัดของแต่ละคน เช่น อาหารสไตล์เปอรานากันจากตรังโดยฝีมือเชฟอุ้ม อาหารไทยแบบถึงรสโดยของเชฟเตย และอาหารรสมือแม่จากวัตถุดิบพื้นบ้านอันยอดเยี่ยมของเชฟเบียร์
ส่วนมื้อเย็นของวันที่ 14 ธันวาคม เป็นการฟีเจอร์ริ่งกันของเชฟโบ และเชฟดีแลน จากร้าน Bo.Lan ร่วมกับเชฟดีกรีมิเชลินสตาร์ Rishi Naleendra จากสิงคโปร์ ที่จะมาร่วมกันทำ จิ้มจุ่มฟิวชั่น ให้เหล่าวันเดอเรอร์ได้ชิม
ในวันที่ 15 ธันวาคม จะมี Brunch โดยเชฟ DK จากร้าน Haoma ที่มีเมนูอาหารที่นำวัตถุดิบที่ส่งตรงจากฟาร์มและผักตามฤดูกาลที่ปลูกด้วยตนเอง มาปรุงให้ได้ชิมกัน
Wonder Kitchen
ถ้าไม่ชอบคนเยอะๆ ก็อาจจะมาลอง Wonder Kitchen ที่ยังเป็นร้านอาหารที่ให้คุณได้นั่งกินอาหารจากเชฟชื่อดัง โดยปีนี้ในวันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม จะมี เชฟหนุ่ม-วีระวัฒน์ ตริยเสนวรรธน์ จากร้านอาหาร ซาหมวย แอนด์ ซันส์ มาจัดอาหารอีสานร่วมสมัยแบบเป็นคอร์สเมนูให้ชิมกัน
ส่วนวันที่ 14 ธันวาคมจะมีเชฟแรนดี้-ชัยชัช นพประภา จากร้าน Fillets มาจัดโอมากาเสะซูชิในสไตล์โมเดิร์นทวิสต์และซาชิมิที่จะอัพเลเวลของอาหารทะเลไทยขึ้นไปอีกระดับ
Pop Up Kitchen
ที่ Pop Up Kitchen นั้น จะมีการนำอาหารสตรีทฟู๊ดที่โดดเด่นของไทย และสตรีทฟู๊ดเมนูนานาชาติไว้ที่นี่ที่เดียว

ราคาตั๋ว Wonderfruit 2019
ปีนี้ตั๋วมีหลายแบบ ทั้งแบบวันเดียว แบบเฉพาะวีคเอนด์ หรือแบบเหมาเข้าทุกวัน (งานจัดในวันที่ 12-16 ธันวาคม 2019) ทาง Wonderfruit เปิดขายตั๋วเป็นเฟส คือเฟสแรกจะถูกที่สุด แต่ผ่านไปแล้ว และในเฟสที่สองจนถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน หลังจากนั้นจะเป็นตั๋วราคาของเฟส 3 และซื้อหน้างานจะราคาสูงที่สุด ตั๋วเริ่มต้นตั้งแต่ 3,700 บาทจนถึง 9,600 บาท สามารถซื้อตั๋วที่ได้เว็บ Wonderfruit

ใครบ้างเหมาะกับ Wonderfruit
เอาจริงต้องบอกว่านี่เป็นงานเฟสติวัลที่ก่อตั้งในไทย แต่ดังไปทั่วโลกแล้ว เคยมีสื่อต่างประเทศบอกว่าที่อเมริกามีโคชเชลล่าและเบิร์นนิ่งแมน แต่เมืองไทยมี Wonderfruit Festival ใครที่อยากสัมผัสเฟสติวัลระดับโลกก็ต้องมาลองครับ งานนี้มีทั้งดนตรี ประสบการณ์จากกิจกรรมต่างๆ ดูคนแต่งตัวแฟชั่นจัดๆ กัน และดูศิลปะและสถาปัตยกรรมที่หลากหลายจากศิลปินระดับนานาชาติ ถ้าคุณชอบสิ่งเหล่านี้ น่าจะลองแวะไปดูครับ ปีนี้ผมจะลองไปเป็นปีแรก แล้วจะมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมครับ

ขอเชิญร่วมแสดงความคิดเห็นหรือแบ่งปันประสบการณ์ของคุณ