ถ้าใครได้เคยเห็นโฆษณาของธนาคารกรุงศรีที่ชื่อว่า ทุกเรื่องยาก…ง่ายได้ #กรุงศรีอยู่นี่นะ จะเห็นว่าในโฆษณาจะมีสุนัขพันธุ์ไทยอยู่ตัวหนึ่ง (หลังจากนี้ขอเรียกสุนัขว่าหมา เพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่า) รับบทหมาจรจัดที่นอนอยู่หน้ามินิมาร์ท หมาตัวนั้นชื่อมะลิ คือหมาไทยข้างถนนที่ครอบครัวของเราได้รับน้องมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ลองชมโฆษณาตัวดังกล่าวก่อนครับ
ผมอยากจะเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับมะลิ จนมาเป็นหมาในโฆษณาในวันนี้ได้ มะลิได้มาอยู่กับเรา พร้อมกับพี่น้องอีกสองตัว ชื่อพิกุล และพุดซ้อน เนื่องจากในช่วงนั้น ทางภรรยาของผมอยากกลับมาเลี้ยงหมาในบ้านอีกครั้ง ตอนแรกก็ดูไว้หลายสายพันธุ์ แต่สุดท้ายก็มาลงตัวที่ว่า หากเราอยากเลี้ยงหมา เราควรน่าจะไปรับหมาที่ไม่มีคนเลี้ยงดู จะได้เป็นการช่วยเหลือและให้ชีวิตใหม่ให้พวกมันไปด้วย
เมื่อแรกพบ
ภรรยาผมไปพบกับเพจในเฟซบุ๊คแห่งหนึ่งที่มีการประกาศหาบ้าน ให้กับหมาจรจัด เราเลยเดินทางไปที่บ้านของคนประกาศเพื่อหาน้องหมามาเลี้ยง เมื่อเราไปถึงสถานที่ดังกล่าว ก็เจอลูกหมาหลายตัว และตัวที่เราเห็นโดดเด่นที่สุดเมื่อตอนเป็นเด็ก ก็คือ “มะลิ” นั่นเอง ตอนนั้นน้องมะลิเดินตุปัดตุเป๋มาโชว์ตัวให้เราเห็น ตัวสีน้ำตาล มีหัวสีน้ำตาลและปากสีขาว ซึ่งทางเจ้าของสถานที่บอกว่า เจ้าตัวนี้ยังมีพี่น้องอีกสองตัวนะ ช่วยมาจากข้างถนน ซึ่งตอนที่ไปเก็บมานั้น เป็นการช่วยชีวิตเจ้าสามตัวนี้มาจากท่อน้ำครำที่ตกลงไปกันทั้งครอก ซึ่งทั้งสามตัวนี้เป็นสุนัขตัวเมียทั้งหมด

ไม่กี่อึดใจ พี่น้องอีกสองตัวของมะลิ ก็เดินออกมาโชว์ตัวด้วย ตอนแรกว่าจะรับไปตัวเดียว แต่คุณแม่ของภรรยาผมก็กล่าวว่า เราจะพรากพี่พรากน้องเค้าได้อย่างไร เราควรต้องรับไปทั้งสามตัวเลย ให้พี่น้องเค้าได้อยู่ด้วยกัน ซึ่งอีกสองตัวนั้น มีตัวสีน้ำตาลเข้มทั้งตัว ที่เราให้ชื่อว่าพิกุล และอีกตัวเป็นสีน้ำตาลอ่อนทั้งตัว ให้ชื่อว่าพุดซ้อน
วีรกรรม
ช่วงแรกที่มาอยู่บ้าน เด็ก ๆ ทั้งสามกำลังอยู่ในช่วงวัยซน เราได้ลุ้นกันทุกวันว่าวันนี้จะทำลายล้างอะไรอีก แต่ช่วงนั้นก็สนุกดี เพราะเด็กๆ คงยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เราคงต้องคอยสอนเค้า และนี่คือผลงานสร้างสรรค์ของเด็กๆ

จนทั้งสามโตขึ้นจนอายุเกือบจะขวบนึง ในวันหนึ่งที่เรากำลังกินข้าวมื้อเย็นกันอยู่ที่บ้าน อยู่ๆ มะลิก็กัดกันกับพิกุลอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับโกรธกันมาจากไหน กว่าจะแยกกันได้ทั้งสองตัวก็ได้แผลกันไปเยอะ เราทุกคนในบ้านต่างตกใจ รีบแยกและสำรวจแผล แล้วก็ต้องพาทั้งสองตัวไปโรงพยาบาลสัตว์
ผมพาพิกุลไปส่งโรงพยาบาลก่อนเพราะแผลเยอะกว่ามะลิ ต้องล้างแผลและอยู่โรงพยาบาลไปหลายวัน ส่วนมะลิ มีแผลน้อยหน่อย เราเลยพาไปหาหมออีกโรงพยาบาลหนึ่งใกล้ๆ บ้าน เพื่อรักษาแผลและปรึกษาคุณหมอไปด้วยว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ เราควรทำอย่างไร เค้าจะอยู่ด้วยกันได้อีกไหม หมอบอกว่าน่าจะยังมีตีกันได้อีก คุณหมอเลยแนะนำว่าควรส่งไปเรียนหนังสือ เพื่อปรับนิสัย คุณหมอหยิบแมกกาซีนสัตว์เลี้ยงในโรงพยาบาลมาหนึ่งเล่ม พลิกดูปกหลังมีโฆษณาของโรงเรียนสอนสุนัขอยู่ เราจดเบอร์โทรศัพท์มาและได้ติดต่อไปในวันรุ่งขึ้น
เข้าโรงเรียนประจำ
โรงเรียนนั้นชื่อว่า Dog Sport Club สอนโดยครูอุ๊ ซึ่งมีประสบการณ์สอนสุนัขมากว่า 16 ปี เราพามะลิไปถึงโรงเรียนเพื่อปรึกษาว่า ในกรณีแบบที่เกิดขึ้นที่บ้านเรา จะต้องทำอย่างไรดี คุณครูแนะนำว่า มะลิ น่าจะต้องมาเรียนเพื่อปรับพฤติกรรม ซึ่งเราไม่มีทางออกเพราะที่บ้านยังเอามะลิกลับไปไม่ได้ เพราะยังไม่มีกรงแยก และกลัวว่าถ้าเด็กๆ กัดกันอีกในเวลาที่เราไม่อยู่บ้านน่าจะลำบาก
มะลิถูกส่งเข้าโรงเรียนประจำในเดือนแรก เพื่อเรียนรู้การฟังคำสั่งและปรับพฤติกรรม สิ่งที่เราได้เข้าใจมากขึ้นก็คือ ทางโรงเรียนไม่ได้สอนแค่สุนัข แต่สอนเจ้าของสุนัขด้วย มะลิต้องไปเรียนเพื่อฟังคำสั่ง แต่เจ้าของอย่างเราต้องไปเรียนเพื่อฝึกใช้คำสั่งด้วย ตอนนั้นคนที่ต้องไปเรียนหนังสือเป็นเพื่อนมะลิก็คือพี่สาวของภรรยาผมนั่นเอง






เดือนแรกผ่านไป คุณครูบอกว่าให้ลองนำพิกุล คู่กรณีมาให้เจอกันกับมะลิเพื่อดูว่า ถ้าคู่กรณีทั้งสองตัวมาเจอกันจะมีอาการอย่างไร เราพาพิกุลมาที่โรงเรียนเพื่อเจอมะลิ พบว่าทั้งสองตัวขู่กัน ครูบอกว่าถ้าเป็นแบบนี้ น่าจะต้องส่งพิกุลมาเรียนด้วย เพื่อปรับพฤติกรรมร่วมกัน เราเหล่าเจ้าของเห็นตรงกันว่าต้องส่งพิกุลเข้าโรงเรียนเป็นตัวที่สองของบ้าน
ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ทั้งมะลิและพิกุล อยู่ร่วมกันได้ดีที่โรงเรียน เราเลยลองพาพุดซ้อนมาเยี่ยมทั้งสองตัวที่โรงเรียน ปรากฎว่า พุดซ้อนเมื่ออยู่บ้านแค่ตัวเดียว ก็มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นจ่าฝูงในบ้านอยู่ตัวเดียว พอมาเจอพี่น้อง รอบนี้พุดซ้อนไปขู่สองตัวพี่น้อง ครูและเราเห็นพ้องต้องกันว่า ต้องส่งพุดซ้อนไปเรียนอีกตัวนึง เพื่อให้ทั้งสามตัวอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
จบสามเดือน เราพบว่าทั้งสามตัวอยู่ด้วยกันได้แล้ว คุณครูได้สอนให้เราเจ้าของได้รู้จักสังเกตอาการว่าเมื่อไหร่สุนัขกำลังเขม่นกัน เราต้องตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการห้ามตั้งแต่ตอนนั้น อย่ารอให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นอีก คราวนี้ครูสอนวิธีการแยกสุนัขที่กัดกันไว้ด้วยเผื่อต้องใช้
สิ่งที่เราพบหลังจากที่ผ่านไปสามเดือนก็คือ มะลิ ที่เข้าเรียนเป็นตัวแรกของบ้านนั้น ได้ผ่านการเรียนหนังสือมา 3 เทอม ถือว่าเยอะที่สุดในบ้าน เรียนรู้คำสั่งต่าง ๆ พื้นฐานได้ดี เรียกว่าเรียนมาเยอะกว่าเพื่อนก็ว่าได้ เราก็รับเด็กๆ ทั้งสามตัวกลับมาบ้าน ใช้ชีวิตกันได้ปกติอย่างมีความสุข
คัดตัวนักแสดง
จนวันหนึ่ง โอกาสก็มาถึงเมื่อครูอุ๊สอบถามเข้ามาทางบ้านว่า มีงานโฆษณาที่กำลังหาตัวนักแสดงน้องหมา อยากได้เป็นหมาไทย เลยให้เราส่งรูปเด็กๆ ทั้งสามตัวไปแคสติ้งดู ในที่สุดทางกองถ่ายและครูก็เลือกมะลิ ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะว่ามะลิ มีหน้าตาที่เหมือนหมาวัดที่สุดในบ้านและในขณะเดียวกัน เรียนหนังสือมาเยอะ น่าจะนำไปฝึกเพื่อเตรียมรับบทในงานโฆษณาต่อได้ไม่ยาก

เรียนแอคติ้ง
ครูแนะนำว่าอยากให้มะลิไปเรียนแอคติ้ง เพื่อซ้อมบทที่ทางกองถ่ายให้มา บทที่มะลิต้องเล่นก็คือ เล่นเป็นหมาหน้ามินิมาร์ท มีบทยากก็คือ ต้องนอนขวางประตูอัตโนมัติของมินิมาร์ท แบบที่ประตูต้องเลื่อนชนตัวอยู่ตลอดเวลา ผมถือว่าบทนี้ยากสำหรับหมาเหมือนกัน เพราะด้วยสัญชาติญานปกติของสุนัข น่าจะต้องสะดุ้งหรือหันไปมองว่าอะไรมาโดนตัว เลยต้องมีการไปซ้อมกันล่วงหน้า รวมทั้งฉากที่มีเด็กเดินข้าม ฉากที่หันกลับมามองเด็กน้อย สิ่งเหล่านี้ต้องถูกฝึกสอนกันเพิ่มเติม

มะลิถูกส่งไปโรงเรียนอีกครั้งประมาณ 3-4 วันก่อนวันถ่ายทำเพื่อเรียนแอคติ้ง ทางโรงเรียนส่งรูปและวีดีโอมาให้ดูตลอด เราเองในฐานะเจ้าของก็อยากเห็นว่าเด็กๆ จะทำได้ไหม ทำได้ดีแค่ไหน ก็ตื่นเต้นดีครับ คงเหมือนประมาณคนที่มีลูกแล้วลูกกำลังจะได้ไปแสดงโชว์ที่โรงเรียนอย่างนั้นเลย
ออกกอง ถ่ายทำโฆษณา
ถึงวันถ่ายทำ ทางโรงเรียนพามะลิไปถ่ายทำ โดยทางโรงเรียนบอกว่าไม่อยากให้เจ้าของไปดู กลัวมะลิจะวอกแวก เราก็เห็นด้วยว่าต้องเป็นอย่างนั้น จึงให้คุณครูและทีมงานฝึกสอนเป็นผู้พาไปกองถ่าย เรียกได้ว่าวันถ่ายทำค่อนข้างราบรื่น มะลิน่าจะทำได้ดี กองถ่ายปล่อยตัวดารานำหมาสาวของเรากลับบ้านตั้งแต่ตอนเที่ยง



เราได้นัดให้รถมาส่งมะลิที่บ้านตั้งแต่บ่ายวันนั้นเลย กลับมาถึงบ้านปรากฎว่า มะลิและพี่น้องมึการขู่กัน ไม่แน่ใจว่าจะเกิดจากการที่มะลิไปอยู่ที่โรงเรียนหลายวัน พิกุลกับพุดซ้อนคงรู้สึกผิดกลิ่น เลยขู่ใส่มะลิ เป็นอย่างนี้อยู่วันสองวัน เล่นเอาคนทั้งบ้านต้องงัดเอาวิชาที่ได้ร่ำเรียนมากลับมาใช้อีกครั้ง ถึงจะเริ่มกลับมาอยู่กันได้ดีเป็นปกติ
ออกอากาศ

ผ่านไปประมาณสองสามสัปดาห์ เราก็เริ่มเห็นโฆษณาที่มะลิไปเล่นออกอากาศทางทีวี เห็นแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้ มะลิดูเล่นได้ดีเป็นหมาหน้ามินิมาร์ทที่ไม่แยแสต่อประตูอัตโนมัติ หรือแม้กระทั่งฉากที่เด็กน้อยข้ามตัวมะลิไปแล้วหันมาแลบลิ้นใส่ จนมะลิต้องลุกหันมามองนั้น ทั้งหูตั้ง ตาแบ๊ว เอาใจพ่อกับแม่ไปเลยยย

หมาไทยที่เก็บมาเลี้ยงเป็นยังไงบ้าง
ครอบครัวของเราพบว่า หมาไทยที่แม้จะไม่ใช่พันธุ์แท้ เรียกว่าหมาของเราเป็นหมาที่เป็นพันธุ์ไทยผสม ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเด็กๆ ทั้งสามเป็นตัวไหนด้วยซ้ำ ก็คงมีข้อดีที่ว่า พอเป็นหมาที่เกิดในไทย สายเลือดนั้นก็จะผสมมาแบบมีภูมิต้านทานการใช้ชีวิตและสภาพอากาศของไทยได้ดีมาก ๆ เจ็บป่วยน้อยถึงน้อยมาก ส่วนเรื่องความเก่งความฉลาด คิดว่าหมาไทยพันธุ์ผสมเหล่านี้ก็มีสัญชาติญาณการเอาตัวรอด และสามารถฝึกให้รับฟังคำสั่งได้ บางตัวอาจจะได้มาก บางตัวอาจจะได้น้อย แต่ยืนยันว่าหมาไทยเหล่านี้ สามารถฝึกใช้คำสั่งได้อย่างดี แม้ว่าจะไม่ได้โดดเด่นในเรื่องความฉลาดเหมือนหมาสายพันธุ์ต่างประเทศในบางสายพันธุ์ที่สายเลือดถูกพัฒนามานาน แต่ความฉลาดของหมาไทยก็เพียงพอที่จะสร้างความสุขให้เราได้เยอะทีเดียว

ส่วนเรื่องความสวยงามของน้องหมา อันนี้ผมว่าแล้วแต่มุมมอง บางคนชอบหมาสายพันธุ์ต่างประเทศ บางคนชอบหมาสายพันธุ์ไทย แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนเลย เพราะเมื่อเราได้เลี้ยงเค้าแล้ว เราจะยิ่งรักและผูกพันมากขึ้นทุกวัน และเราก็จะมองน้องหมาของเราว่าสวยหล่อกันหมดทุกตัว หมาจรจัดที่เก็บมาเลี้ยง หากเราเลี้ยงดูแลอย่างดี ก็จะมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีได้ ขนก็สวยงามได้ไม่แพ้น้องหมาสายพันธุ์ต่างประเทศเลยครับ

ต้องขอขอบคุณคุณครูอุ๊จากโรงเรียน Dog Sport Club ที่ช่วยให้คำแนะนำและฝึกสอนเด็กๆ ทั้งสามตัวอย่างดี ทำให้เจ้าของสุนัขรู้ว่าเราจะต้องดูแลเค้าอย่างไร และใช้ชีวิตร่วมกันอย่างไรให้มีความสุขทั้งเจ้าของและสุนัข
ติดตาม มะลิ พิกุล พุดซ้อน ได้ที่ Instagram : @mppteam
ขอเชิญร่วมแสดงความคิดเห็นหรือแบ่งปันประสบการณ์ของคุณ